
การลงทุนในหุ้น ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยผลตอบแทนที่ดี และสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ จึงมีนักเทรดหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็มีนักลงทุนป้ายแดงจำนวนไม่น้อยที่ต้องโบกมือลาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไป ด้วยขาดความเข้าใจ และไม่มีวิธีการรับมือที่ดีพอ เมื่อเกิดปัญหาจึงสร้างผลกระทบที่รุนแรง จนสร้างบาดแผลและความบอบช้ำในจิตใจให้แก่นักลงทุนจำนวนไม่น้อย ดังนั้น สำหรับมือใหม่นักเทรดผู้สนใจที่จะเข้ามาสังเวียนการลงทุนในหุ้น
มาสำรวจตัวเองด้วย 5 เช็คลิสต์ ก่อนคิดลงทุนในหุ้นนี้ก่อนดีกว่า เพื่อให้คุณมือใหม่นักเทรดได้รู้จักตัวเอง และรู้จักตลาดการสร้างเงินให้ทำงานในรูปแบบนี้มากขึ้น
1. ตรวจสอบพฤติกรรมนิสัยตัวเองว่าเหมาะกับการลงทุนแบบใด
ในตลาดหุ้นมีนักลงทุนทั้งคาดหวังกำไรระยะสั้น และลงทุนเพื่อสร้างคุณค่าเพื่อแสวงหาผลกำไรในระยะยาว ก่อนที่จะก้าวลงสนามการลงทุนจึงควรมาสำรวจตัวเอง เรียนรู้พฤติกรรมนิสัยชีวิตประจำวันของเรากันก่อนว่าควรใช้รูปแบบการลงทุนแบบใด สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเวลาในการติดตามข่าวสารด้านการลงทุนค่อนข้างจำกัด การเลือกลงทุนแบบถัวเฉลี่ยรายเดือน หรือ Dollar Cost Average : DCA ที่เน้นลงทุนเท่ากันทุกเดือนตามวันที่กำหนด จะเหมาะสมกว่า แต่หากมีเวลา การเน้นจังหวะเข้าซื้อ หรือ Market Timing ก็อาจจะสร้างกำไรได้ชัดเจนมากกว่า
2. มองหารูปแบบการลงทุนที่สอดคล้องต่อสไตล์การลงทุน
การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อ โดยมาจาก 2 ช่องทางใหญ่ ๆ ก็คือ การพิจารณาจากพื้นฐานของบริษัทนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน อัตราการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งจะเรียกนักลงทุนกลุ่มนี้ว่า VI หรือ Value Investor นักลงทุนเน้นคุณค่า ส่วนอีกกลุ่มจะเป็นสายที่เชี่ยวชาญด้านการดูกราฟ วิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีความซับซ้อน หรือเรียกกันว่านักลงทุนสายเทคนิค หรือบางท่านอาจจะผสมผสานทั้ง 2 แนวเข้าด้วยกัน ซึ่งนักลงทุนหน้าใหม่ ควรศึกษาดูว่าการลงทุนแบบใดเหมาะสมกับตัวเอง
3. ศึกษาทำความเข้าใจหุ้นแบบไหนที่ควรคัดเข้าพอร์ต
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีอยู่ด้วยกันหลากหลาย ทั้งกลุ่มธุรกิจ อัตราการเติบโต ขนาดธุรกิจ ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้ทั้ง กลุ่มหุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตช้า หุ้นเติบโต หุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นตัว หุ้นสินทรัพย์มาก ด้วยความแตกต่างเหล่านี้ ก่อนที่นักลงทุนจะคัดเลือกหุ้นใดเข้าพอร์ตจึงต้องทำความเข้าใจในเชิงลึกว่าหุ้นแต่ละตัวมีโอกาสทำกำไรได้มากน้อยขนาดไหน และมีความเสี่ยงในด้านใด เพื่อจะเข้าซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าไม่ว่าจะระยะสั้น หรือระยะยาว
4. เลือกประเภทพอร์ตหุ้นที่สมดุลกับสถานะทางการเงิน และเป้าหมายการลงทุน
ทุนทรัพย์ที่ตัวเองมี ก็เป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนหน้าใหม่ต้องตรวจเช็คสุขภาพทางการเงินของตัวเอง ก่อนเปิดพอร์ตหุ้น เพื่อให้สามารถเลือกได้ถูกประเภท โดยมีทั้งแบบ การเปิดพอร์ตหุ้นโดยใช้เงินสดล้วน ๆ หรือที่เรียกว่า Cash Balance ซึ่งสามารถซื้อขายหุ้นได้ตามจำนวนเงินที่นำฝากกับโบร์คเกอร์ ประเภทต่อมาเป็นแบบ Cash Account ซึ่งมีข้อดีที่สามารถนำเงินสดเข้าฝากับโบร์คเกอร์เพียง 20 เปอร์เซนต์ก็สามารถทำการซื้อขายได้ โดยส่วนต่างที่เหลือสามารถนำจ่ายโบร์คเกอร์ได้ในภายหลัง และประเภทสุดท้ายเป็นแบบ Credit Balance หรือที่นักลงทุนเรียกกันว่าบัญชีมาร์จิ้น โดยโบร์คเกอร์จะให้นักลงทุนยืมเงินไปลงทุน โดยต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และมีดอกเบี้ยส่วนต่างที่ต้องจ่ายด้วย
5. เรียนรู้การบริหารความเสี่ยง การจิตวิทยาการลงทุนเพื่อปั้นพอร์ตหุ้นให้โตดังใจ
การจะสร้างกำไรให้กับการลงทุนในหุ้นได้นั้น การมีเงินลงทุนที่มากพอเพียงอย่างเดียว ไม่อาจจะเพียงพอ จำเป็นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้การบริหารความเสี่ยง จากความผันผวนในตลาดหุ้น รวมถึงจิตวิทยาการลงทุน การควบคุมอารมณ์ในการเทรด เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหงื่อของตลาด จากนักลงทุนเจ้าใหญ่ หากประมาท ขาดสติ
ในทุก ๆ การลงทุน แม้แต่ตลาดหุ้นเองก็ตาม จำเป็นต้องมีการเตรียมตัว ศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจ และวางแผนให้สอดคล้องเหมาะสมกับตัวเอง รวมถึงต้องมีแผนสำรองเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นสำหรับผู้สนใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้น ก่อนคิดลงทุน ควรมีการนำเช็คลิสต์ทั้ง 5 ข้อดังที่กล่าวมา นำไปตรวจสอบเพื่อประเมินตัวเองก่อนว่ามีความเข้าใจในแต่ละด้านมากน้อยแค่ไหน เมื่อก้าวลงสู่สนามไป จะได้มีอาวุธติดตัวที่จะสามารถสู้รบ และเอาชนะอุปสรรค เพื่อก้าวไปสู่เส้นชัยมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการได้ในที่สุด
อ่านเพิ่มเติม: เปลี่ยนคอนเท้นต์