
การลงทุนสินทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้น นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้ที่มุ่งหวังผลกำไรที่คุ้มค่า ใช้เป็นหนทางในการสร้างเงินให้ทำงาน แต่ด้วยบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนมีจำนวนหลายร้อยบริษัท คงทำให้นักลงทุนหลาย ๆ คนสงสัยว่า แล้วจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มไหน รวมทั้งจะใช้กลยุทธ์การลงทุนรูปแบบไหน ประเภทหุ้นแบบใด ที่จะสร้างผลกำไรได้ในอัตราที่ต้องการ และตลาดสามารถให้ได้ การเรียนรู้เพื่อจำแนกหุ้นออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ที่จะช่วยเป็นข้อมูลพื้นฐาน ทำให้นักลงทุนสามารถคัดสรรหุ้นดี โดนใจ มาไว้ในพอร์ตของตัวเองได้สะดวก ง่าย และปลอดภัย มีความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม
มาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจประเภทหุ้นไปพร้อมกันได้เลย
1. หุ้นเกรด A ระดับพรีเมี่ยมที่ควรมีไว้ประดับพอร์ต
หุ้นกลุ่มนี้มักจะถูกเรียกขานในหมู่นักลงทุนว่า หุ้นบลูชิพ (Blue Ship Stock) เป็นหุ้นของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ หากในประเทศไทย ก็จะเป็นหุ้นของ CP SCG ปตท. ฯลฯ ซึ่งมีการดำเนินการธุรกิจที่มีความมั่นคง มายาวนาน มีสินค้า หรือบริการที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง มักจะมีการไปลงทุนในหลายประเทศ มีมูลค่าหุ้นสูง มีการจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นต่อเนื่องสม่ำเสมอ ถึงเป็นหนึ่งในหุ้นคุณภาพดีที่ควรมีไว้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างกำไรให้กับพอร์ตการลงทุนของทุกคน
2. หุ้นพุ่งแรง เติบโตแบบก้าวกระโดด
นอกจากกลุ่มกิจการขนาดใหญ่แล้ว ในตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีกิจการเกิดใหม่ ที่มีจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น สร้างผลกำไรให้เติบโตได้แบบก้าวกระโดด และยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่มักจะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เพราะมีความจำเป็นต้องสำรองเงินไปใช้กับการพัฒนาโปรเจคใหม่ ๆ ที่มีอนาคตสดใส หุ้นพุ่งแรงกลุ่มนี้ จึงเป็นหุ้นที่ได้รับการหมายตาจากนักลงทุน ในบางช่วงเวลาจึงมักจะมีความต้องการสูง ทำให้ราคาดันขึ้นไปอยู่ในระดับที่เกณฑ์กว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งนักลงทุนควรระวัง เพราะอาจจะทำให้ซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกิน
3. หุ้นขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ
หนึ่งในหุ้นที่หากถือไว้ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ก็คือ หุ้นที่ขึ้นลงตามวัฏจักร หรือแปรผันไปตามปัจจัยต่าง ๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ วิกฤติต่าง ๆ โดยหุ้นกลุ่มนี้ จะมีผลประกอบการที่ดีตามสภาพการปรับตัวตามอุปสงค์ความต้องการของตลาด และซบเซาตามปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ หากมีหุ้นกลุ่มนี้ในมือ จึงต้องหมั่นติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ และหากสถานการณ์เข้าขั้นย่ำแย่ ก็ควรปรับเปลี่ยนให้ทันท่วงที จังหวะการเข้าและออกในการซื้อขายหุ้นกลุ่มนี้ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
4. หุ้นเน้นเก็งกำไร
สำหรับนักลงทุนที่เน้นเทรดสั้น ๆ มักจะมีการเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วมักจะไม่ได้มีพื้นฐานที่ดี ไม่ได้มีผลกำไรที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ในอนาคตก็ไม่ได้มีเครื่องการันตีว่าจะมีผลประกอบการที่ดี จึงมักจะมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนจึงมักใช้วิธีการวิเคราะห์ประเมินเพื่อหาปัจจัยต่างๆ ที่จะเป็นตัวหนุนให้ราคาขยับตัวขึ้น และเข้าซื้อขายทำกำไรเป็นรอบ ๆ นักลงทุนจึงต้องมีเวลาในการศึกษาติดตามข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์กราฟการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
5. หุ้นเติบโตมั่นคง
กิจการกลุ่มนี้ มักอยู่ในประเภทธุรกิจที่เป็นความต้องการพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา หรือในกลุ่มสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล ซึ่งราคาหุ้นไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตได้ดีในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา นักลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ จึงไม่ต้องกังวัลการความแปรปรวนของหุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงในระดับต่ำ
การรู้จัก ทำความเข้าใจกับหุ้นในแต่ละกลุ่ม จะทำให้นักลงทุน สามารถคัดสรรหุ้น และบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม ลงตัว เพื่อสร้างปัจจัยพื้นฐานที่ส่งเสริมให้เงินทำงาน สร้างผลตอบแทนที่เติบโตอย่างมั่นคง และสม่ำเสมอ เป็นต้นทางไปสู่การสร้างอิสรภาพทางการเงิน เพื่อใช้ชีวิตในรูปแบบไลฟต์สไตล์ที่ตนเองต้องการได้อย่างไร้กังวล
อ่านเพิ่มเติม: Brand Royalty